วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Learning Log หลักการแปลวรรณกรรม


                หนังสือนั้นมีหลายประเภทที่เราเลือกอ่านกันตามความชอบ เช่น นิยาย นวนิยาย เรื่องสั้น บทเพลง เป็นต้น หนังสือเหล่านี้จะมีต้นฉบับ และอีกอย่างหนังสือที่กล่าวมานั้นก็มีทั้งการแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ หรือจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย และในการแปลหนังสือเหล่านี้ก็มีขั้นตอนหรือหลักในการแปลของมัน เพื่อที่จะช่วยให้แปลได้ถูกต้องและมีความหมายตรงกับต้นฉบับ และในที่นี้จะเป็นการพูดถึง หลักการแปลวรรณกรรม
                วรรณกรรม หมายถึง หนังสือที่แต่งขึ้นด้วยความคิดสร้างสรรค์ไม่ว่าจะใช้วิธีร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ไม่ว่าจะเป็นผลงานกวีโบราณหรือปัจจุบัน รวมเรียกว่า “วรรณคดี” ซึ่งวรรณกรรมเป็นงานเขียนที่จัดไว้ในประเภท “บันเทิงคดี”
                งานแปลทางบันเทิงคดีที่จะนำมากล่าวในที่นี้ได้แก่ งานแปลนวนิยาย เรื่องสั้น นิทาน นิยาย บทละคร การ์ตูน บทเพลง เป็นวรรณกรรมที่ผู้อ่านมุ่งหวังที่จะได้รับความบันเทิง เพลิดเพลินเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่จะค้นหาความรู้ต่างๆนั้นเป็นจุดประสงค์รอง การแปลวรรณกรรมสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การรักษาความหมายเดิมไว้ให้ครบถ้วนไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นหัวใจของการแปลงานบันเทิงคดี ผู้แปลต้องใช้ศิลปะที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะงานแปลเช่นนี้เป็นงานแปลศิลปะอย่างแท้จริง
หลักการแปลนวนิยาย
                นวนิยายเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทุกประเทศและทุกสมัย ผู้แปลเกือบจะมีความสำคัญเท่ากับผู้แต่ง ในบางครั้งก็มีความสำคัญมากกว่าผู้แต่ง งานแปลนวนิยายและหนังสือประเภทบันเทิงคดี มักจำนำชื่อเสียงเกียรติคุณมาสู่ผู้แปล ดังนั้นงานแปลประเภทนี้จึงมีความสำคัญมากในวงการแปล คุณค่าของวรรณกรรมอยู่ที่ศิลปะในการใช้ภาษาของผู้แปลที่สามารถค้นหาถ้อยคำที่สละสลวยสอดคล้องกับต้นฉบับได้อย่างดี
1.                การแปลชื่อเรื่องของวรรณกรรม ชื่อของหนังสือมีความสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะผู้แต่งเอาใจใส่ในการตั้งชื่อหนังสืออย่างดีที่สุด เพื่อบอกคุณลักษณะของงาน และเพื่อสร้างความเร้าใจให้แก่ผู้อ่านให้สนใจติดตามผลงาน และเพื่อบอกเป็นนัยๆว่าผู้เขียนต้องการสื่ออะไรต่อผู้อ่าน ชื่อหนังสือก็เปรียบเสมือนใบหน้า ดังนั้นการแปลชื่อเรื่องตามที่นักแปลปฏิบัติมี 4 แบบ
แบบที่ 1 ไม่แปล แต่ใช้ชื่อเดิมเป็นภาษาไทยด้วยวิธีการถ่ายทอดเสียง หรือถ่ายทอดตามตัวอักษร (ทับศัพท์)
แบบที่ 2 แปลตรงตัว ถ้าชื่อต้นฉบับมีความสมบูรณ์ครบถ้วนก็จะใช้วิธีแปลตรงตัวโดยรักษาคำและความหมายไว้ด้วยภาษาไทยที่ดีและกะทัดรัด
แบบที่ 3 แปลบางส่วนดัดแปลงบางส่วน จะใช้วิธีนี้ก็ต่อเมื่อชื่อในต้นฉบับห้วนเกินไป สื่อความหมายไม่เพียงพอ
แบบที่ 4 ตั้งชื่อใหม่โดยการตีความชื่อเรื่องและเนื้อเรื่อง ผู้แปลต้องใช้ความเข้าใจวิเคราะห์ชื่อเรื่องและเนื้อเรื่องจนสามารถจับประเด็นสำคัญและลักษณะเด่น และจุดประสงค์ของผู้เขียนเรื่องได้
2.                การแปลบทสนทนา อาจจะมีความยุ่งยาก เนื่องจากมีการใช้ถ้อยคำในการตอบโต้ของตัวละคร ซึ่งใช้ภาษาพูดที่มีหลายระดับแตกต่างกันตามสถานภาพทางสังคมของผู้พูด ถ้าผู้แปลไม่คุ้นกับภาษาพูดระดับต่างๆก็อาจจะเข้าใจผิดได้
3.                การแปลบทบรรยาย เป็นข้อความที่เขียนเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ ซึ่งมักจะใช้ภาษาเขียนที่ขัดเกลาและแตกต่างกันหลายระดับ ทำให้เกิดความยุ่งยากในการแปลเพื่อให้สอดคล้องกับต้นฉบับ ถ้าวิเคราะห์การใช้ภาษาในบทบรรยายแล้ว จะพบว่าความยุ่งยากเกิดจากภาษาสองประเภท คือ ภาษาในสังคม กับภาษาวรรณคดี
ขั้นตอนการแปลวรรณกรรม ควรปฏิบัติดังนี้
1.                อ่านเรื่องราวให้เข้าใจโดยตลอด เพื่อที่จะสามารถจับใจความสำคัญได้
2.                วิเคราะห์ถ้อยคำสำนวน เช่น การศึกษาความหมายคำที่ไม่รู้จัก
3.                ลงมือแปลเป็นภาษาไทยด้วยถ้อยคำสำนวนที่เรียบง่าย เพื่อความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
หลักการแปลบทละคร
                บทละครก็เป็นวรรณกรรมการแสดง ถ้าไม่มีดนตรีหรือบทร้อง เรียกว่า ละครพูด แต่ถ้ามีดนตรีหรือบทร้อง เรียกว่า ละครร้อง ละครรำ เช่น ละครชาตรี ลิเก และบทละครที่กล่าวถึงงานแปลในที่นี้คือ ละครโศก (Tragedy) ละครชวนขัน (Comedy) ละครโอเปร่า (Opera) และบทละครเวที และในการแปลบทละครใช้วิธีเดียวกับการแปลเรื่องสั้น นวนิยาย  นิทาน นิยาย คือเริ่มต้นจากการอ่านต้นฉบับเพื่อทำความเข้าใจ จากนั้นก็หาความหมายและคำแปลแล้วเขียนด้วยภาษาที่เหมาะสม
การอ่านต้นฉบับละคร
                ในการอ่านต้นฉบับนั้นเราควรอ่านหลายๆครั้ง อ่านครั้งแรกเพื่อทำความเข้าใจเนื้อเรื่องอย่างคร่าวๆ และตรวจสอบความเข้าใจด้วยการตั้งคำถามว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ต่อไปก็คือค้นหาความหมายของคำและวลีที่ไม่รู้จักโดยใช้พจนานุกรมช่วยและหาความรู้รอบตัวเพิ่มเติมเกี่ยวกับต้นฉบับ

หลักการแปลบทททภาพยนตร์
                บทภาพยนตร์ที่นำมาแปลจะถ่ายทอดเป็นบทเขียนก่อน ถ้าไม่มีบทเขียนก็ต้องดูและฟังจากฟิล์ม โดยมีจุดประสงค์หลักคือนำบทแปลไปพากย์ หรืออัดเสียงในฟิล์ม และนำบทแปลไปเขียนคำบรรยายในฟิล์มดั้งเดิม บทภาพยนตร์มมีลักษณะเหมือนบทละคร คือประกอบด้วยคำสนทนา แต่ผู้แสดงภาพยนตร์จะมีจำนวนที่หลากหลายกว่า โดยในการแปลจะมีขั้นตอนเช่นเดียวกับการแปลบทละคร คือต้องอ่านทั้งข้อความ ภาพ และฉากพร้อมๆกันโดยมีสัมพันธภาพต่อกัน
หลักการแปลนิทาน นิยาย
1.                การอ่านต้นฉบับนิทาน
อ่านครั้งแรกอย่างเร็วเพื่อทำความเข้าใจ แล้วตรวจสอบความเข้าใจโดยการตั้งคำถามว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อใด ทำไม และอ่านอีกครั้งอย่างช้าๆ เพื่อค้นหาความหมาย และคำแปล ทำรายการคำ วลีที่ไม่ทราบความหมาย
2.                การเขียนบทแปล
การใช้ภาษาในนิทานเป็นภาษาระดับกลาง การใช้ภาษาแปลในการแปลสรรพนามที่ตัวละครใช้แทน ควรใช้ภาษาเก่า เช่น เจ้า ข้า และในตอนจบจะเป็นคำสอน สามารถแปลตรงตัวได้เลย
หลักการแปลเรื่องเล่า
1.                การอ่านต้นฉบับเรื่องเล่า อ่านหลายๆครั้ง โดยครั้งแรกจะอ่านเร็วเพื่อทำความเข้าใจเนื้อเรื่อง และอ่านช้าๆในครั้งต่อไป เพื่อค้นหาความหมายของคำที่เราไม่เข้าใจ
2.                การเขียนบทแปล ภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาระดับกลาง มีความกำกวม และอารมณ์ขัน ผู้แปลต้องเลือกหาคำที่ฟังดูน่าขัน
หลักการแปลการ์ตูน
1.                การอ่านแลดูภาพการ์ตูน ในการอ่านครั้งแรก จะอ่านอย่างเร็วเพื่อทำความเข้าใจกับคำพูดและภาพ และตอบคำถาม ใคร ทำอะไรในแต่ละภาพ
2.                การเขียนบทแปล เมื่อเข้าใจเรื่องราวตลอดแล้ว อ่านซ้ำอีกครั้งอย่างละเอียดเพื่อเตรียมการเขียน
หลักการแปลกวีนิพนธ์
                กวีนิพนธ์เป็นวรรณกรรมที่แต่งเป็นร้อยกรอง มีกฎดชเกณฑ์แน่นอนตายตัวด้วยการจำกัดจำนวนคำ จำนวนพยางค์ และจำนวนบรรทัด ทั้งเสียงหนัก-เบา การสัมผัส และจังหวะ โดยเรียกว่า ฉันทลักษณ์
ลักษณะการแปล
1.                แปลเป็นร้อยกรอง ใช้กับวรรณคดีโบราณที่มุ่งเน้นทั้งเนื้อหาสาระและความไพเราะของภาษา โดยผู้แปลหวังว่างานแปลของตนนั้นจะเป็นวรรณคดีอีกหนึ่งชิ้นในอีกภาษาหนึ่ง
2.                แปลเป็นร้อยแก้วที่ประณีต เพื่อการสื่อสารความคิดและวัฒนธรรมอื่นๆในกวีนิพนธ์
จากที่ดิฉันได้ศึกษา ความรู้ที่ได้รับคือ วรรณกรรมนั้นมีงานเขียนที่หลากหลายและมีการแปลที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เพราะฉะนั้นเมื่อเราแปลงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งเราควรจะศึกษาหลักการแปลของงานนั้นๆให้เป็นอย่างดี เพื่อความถูกต้องของงาน


Learning Log ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ


                ในการเขียนงานแปลออกมานั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะคำนึงถึงคงความหมายของต้นฉบับไว้ให้เหมือนเดิมที่สุด แต่ในอีกด้านหนึ่งของภาษาที่เราแปลออกมานั้น เราจะต้องแปลให้ออกมาสละสลวย ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย และมีความหมายเหมือนต้นฉบับ ซึ่งในการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยนั้น เราก็จะต้องใช้ “ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ”
                การเขียนบทแปลที่ดีจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยต้องเขียนด้วย “ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ” ซึ่งหมายถึง ภาษาเขียน ภาษาพูดที่คนไทยทั่วไปใช้กันจริงในสังคมไทย ผู้อ่านหรือผู้ใช้งานสามารถเข้าใจได้ทันที ไม่มีอุปสรรคในการรับสารที่สื่อจากบทแปล
                องค์ประกอบที่นักแปลต้องพิจารณาในการเขียนบทแปลด้วยภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ ได้แก่ องค์ประกอบย่อยของการแปล คือ คำ ความหมาย การสร้างคำ และสำนวนโวหาร ดังนี้
                คำ ความหมาย และการสร้างคำ
                คำและความหมาย คำบางคำมีความหมายแตกต่างกันหลายอย่าง มีทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง หรือความหายเชิงเปรียบเทียบ เช่น
เบี้ยว
ความหมายตรง: ลักษณะของสิ่งที่กลม แต่ไม่กลม บิด ไม่กลม
ความหมายแฝง: ไม่ซื่อสัตย์ ทรยศ หักหลัง เชื่อถือไม่ได้
                คำบางคำมีความหมายแตกต่างกันไปตามยุคสมัย เช่น สมัยในสมัยก่อนมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ในปัจจุบันมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง อาจจะตรงกันข้าม แย่ลง หรือดีขึ้นก็ได้ เช่น
กู สมัยก่อนเป็นคำที่ใช้เรียกกันทั่วไป แต่ในปัจจุบันเราจะมองว่ามันเป็นคำหยาบคาย มีความหมายที่แย่ลง
การสร้างคำกริยา
                เป็นการเสริมท้ายคำกริยาด้วยคำกริยา ซึ่งอาจจะมองว่ามันซับซ้อน แต่มันจะทำให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้นถ้าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน ซึ่งได้แก่ ขึ้น ลง ไป มา ในที่นี้จะใช้เป็นคำบอกปริมาณ และทิศทาง ดังนี้
                ทำขึ้น คือ มาก ชัดเจน เช่น หัวเราะขึ้น เกิดขึ้น พูดขึ้น ปรากฏขึ้น
                ช้าลง คือ เพียงเล็กน้อย เช่น แก่ลง เสื่อมลง เลวลง ผอมลง เตี้ยลง จางลง
                จากไป คือ ห่างไกลออกไป เช่น พูดไป คิดไป ทำไป ร่วงไป เลิกไป
                กลับมา คือ ใกล้ เช่น บอกมา เขียนมา พูดมา วิ่งมา
การเข้าคู่คำ
                เป็นการนำคำหลายคำเข้ามาคู่กัน เพื่อให้ได้คำใหม่โดยมีความหมายใหม่หรือมีความหมายคงเดิม ดังนี้
คู่คำพ้องความหมาย
·        ทรัพย์สิน (ความหมายคงเดิม)
·        ห้ามไม่ให้ (ความหมายคงเดิม)
·        ผู้ใหญ่ผู้น้อย (ความหมายตรงข้าม)
·        ผู้หญิงผู้ชาย (ความหมายตรงข้าม)
·        ลูกเมีย (ความหมายต่างกัน)
·        รถไฟ (ความหมายต่างกัน)
สำนวนโวหาร
                เป็นการเปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดความบันเทิง แต่ถ้าผู้อ่านไม่เข้าใจก็จะได้ผลตรงกันข้าม
                สำนวนที่ประกอบด้วยคำว่า “ให้” จะไม่มีความหมายเหมือนเมื่อเป็นกริยาสำคัญ แต่มีความหมายอย่างอื่น ดังต่อไปนี้
·        จนกระทั่ง เช่น รับประทานให้หมด
·        กับ แก่ เช่น พ่อค้าขายของให้ลูกค้า
·        เพื่อที่จะ เช่น ฉันเอาผ้าไปให้เขาตัดเสื้อ
·        เพื่อที่จะ เช่น แต่งตัวให้สบาย
สำนวนที่มีคำซ้ำ
คำเดียวกันซ้ำกัน (ซ้ำรูป) และคำที่มีความหมายเหมือนกัน (ซ้ำความหมาย) ซึ่งจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
·        เพื่อที่จะให้เกิดความไพเราะ ถ้ามีการซ้ำรูปจะทำให้เสียงทอดยาว อ่อนสลวย
·        เพื่อให้มีความหมายอ่อนลง มักจะใช้กับประโยคคำสั่ง เพื่อคลายความบังคับให้กลายเป็นขอร้อง
·        เพื่อให้ได้คำใหม่ๆใช้
·        เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีจำนวนมาก ปริมาณมาก หรือเป็นพหูพจน์
ข้อเสีย
·        เป็นความรุ่มร่ามฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น
โวหารภาพพจน์
                นักแปลต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เนื่องจากนักเขียนมักจะสร้างภาพพจน์อย่างกว้างขวางสลับซับซ้อน ผู้อ่านควรศึกษาแนวคิดในการใช้โวหารภาพพจน์
1.                โวหารอุปมา คือ การสร้างภาพพจน์ด้วยการเปรียบเทียบ เพื่อชี้แจงอธิบาย พูดพาดพิงถึง หรือเสริมให้งดงามขึ้น มักจะใช้คำว่า เหมือนราวกับ ดุจ ประดุจ ประหนึ่ง และอื่นที่มีความหมายเดียวกัน
2.                โวหารอุปลักษณ์ คือ การเปรียบเทียบความหมายโดยนำความเหมือนและไม่เหมือนของสิ่งที่จะเปรียบเทียบมากล่าว
3.                โวหารเย้ยหยัน คือ การใช้คำด้วยอารมณ์ขัน เพื่อเย้ยหยัน เหน็บแนม หรือชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง
4.                โวหารขัดแย้ง คือ การใช้คำที่มีความหมายตรงข้ามกันมาเรียงต่อกัน โดยรักษาสมดุล หรือเป็นการกล่าวขัดแย้งกับความเป็นจริง หรือความเชื่อและความคิดเห็นของบุคคลทั่วไป
5.                โวหารที่ใช้ส่วนหนึ่งแทนทั้งหมด คือ การนำคุณสมบัติเด่นๆของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาใช้แทนที่จะเอ่ยนามสิ่งนั้นออกมาตรงๆ
6.                โวหารบุคคลาธิษฐาน คือ การนำสิ่งต่างๆที่ไม่มีชีวิต รวมทั้งความคิด การกระทำ และนามธรรมอื่นๆ มากล่าวเหมือนเป็นบุคคล
7.                โวหารที่กล่าวเกินจริง มีจุดประสงค์ที่จะเน้นให้เห็นความสำคัญ ชี้ให้ชัดเจนและเด่น และใช้เพื่อแสดงอารมณ์ที่รุนแรง ไม่ได้ต้องการอธิบายข้อเท็จจริง
ลักษณะที่ดีของสำนวนโวหาร
1.                ถูกหลักภาษา คือ ไม่ขัดกับหลักไวยากรณ์
2.                ไม่กำกวม คือ ชัดเจน แม่นตรง
3.                มีชีวิตชีวา คือ ไม่เนิบนาบ เฉื่อยชา ยืดยาด
4.                สมเหตุสมผล คือ น่าเชื่อถือ มีเหตุผลรอบคอบ ไม่มีอคติ
5.                คมคายเฉียบแหลม คือ การใช้คำพูดที่เข้มข้น หนักแน่น แฝงข้อคิดที่ฉลาด
จากที่ดิฉันได้ศึกษา ความรู้ที่ได้รับคือ ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาตินั้น เราจะต้องศึกษาองค์ประกอบย่องของภาษา ได้แก่ คำ ความหมาย การสร้างคำ และสำนวนโวหาร