ในการแต่งประโยคโดยทั่วไปนั้นจะอยู่ในรูปแบบของประธานเป็นผู้กระทำ
หรือเรียกอีกอย่างว่า “active” และในอีกรูปแบบหนึ่งคือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ
รูปแบบของประโยคในแบบนี้เรียกว่า “passive” ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเราจะนิยมเขียนประโยคแบบแรกคือ
“active” แต่ในบทความนี้จะเป็นการกล่าวถึงการแต่งประโยคแบบ
“passive”
ประโยคแบบ “passive” ก็ดัดแปลงมาจาก ประโยคแบบ “active” โดยรูปแบบของประโยคก็มีด้วยกัน 12 แบบ ดังนี้
1) Present
Simple Tense = S + is/am/are + V.3
2) Present
Continuous Tense = S + is/am/are + being + V.3
3) Present
Perfect Tense = S + have/has + been + V.3
4) Present
Perfect Continuous Tense = S + have/has + been +being + V.3
5) Past
Simple Tense = S + was/were + V.3
6) Past
Continuous Tense = S + was/were + being +V.3
7) Past
Perfect Tense = S + had + been + V.3
😎 Past Perfect Continuous Tense = S +
had + been + being + V.3
9) Future
Simple Tense = S + will + be + V.3
10) Future
Continuous Tense = S + will + being + V.3
11) Future
Perfect Tense = S + will + have/has + been + V.3
12) Future
Perfect Continuous Tense = S + will + have/has + been + being + V.3
จากรูปแบบประโยคข้างต้นนี้เมื่อนำมาแต่งประโยคแล้วจะมีคำบุพบทอยู่ก่อนผู้กระทำ
เช่น
Mary helped Mark. = Mark is helped
by Mary.
ในการแต่งประโยคในรูปแบบของ
“passive” นั้น หลายคนอาจจะมองว่ามันยาก แต่ถ้าเรามีความชำนาญก็จะทำให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
โดยการศึกษารูปแบบของประโยคตั้งแต่ active และpassive ควบคู่กันไป
หลังจากนั้นก็ควรฝึกแต่งประโยคด้วยตนเอง จนเกิดความเข้าใจและลองทำแบบฝึกหัด
เพื่อทำให้เราเกิดความชำนาญและเราต้องทำความเข้าใจความหมายของประโยคไปในตัวด้วย
เพื่อที่เราจะสามารถแปลงประโยคได้ถูกต้องตามสถานการณ์
จากที่ดิฉันได้ศึกษา
ความรู้ที่ได้คือ การแปลงประโยคจาก “ active “ เป็น “passive” ซึ่งเป็นการทบทวนอีกครั้ง
ทำให้เกิดความแม่นยำเพิ่มขึ้นในการนำไปใช้ในการเรียนการสอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น