วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Robinson Crusoe

Robinson Crusoe
ตอนที่ 1 : ครั้งแรกกับการเดินทางในทะเล
                ก่อนจะเริ่มเรื่องของฉัน ฉันจะเล่าเกี่ยวกับฉันเล็กๆน้อยๆ
                ฉันเกิดในปี ค.ศ.1632 ในเมืองยอร์คทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ พ่อของฉันเป็นคนเยอรมัน แต่มาอาศัยและทำงานในประเทศอังกฤษ ในไม่ช้าหลังจากนั้นเขาแต่งงานกับแม่ของฉัน แม่ของฉันเป็นคนอังกฤษ ครอบครัวของหล่อนชื่อ โรบินสัน ดังนั้นเมื่อฉันเกิดพวกเขาจึงเรียกฉันว่า โรบินสันตามหล่อน
                พ่อของฉันทำธุรกิจไปได้ดี และฉันไปโรงเรียน เขาต้องการให้ฉันได้งานดีๆ และอาศัยอยู่แบบเงียบ มีชีวิตที่สุขสบาย แต่ฉันไม่ต้องการแบบนั้น ฉันต้องการมีชีวิตที่ตื่นเต้าและผจญภัย
                ฉันต้องการจะเป็นทหารเรือและออกทะเล ฉันบอกพ่อและแม่ของฉัน พวกเขาไม่มีความสุข
                “ ขอร้องเถอะ อย่าไปเลย ” พ่อของฉันพูด “ ลูกจะไม่มีความสุข ลูกรู้ ทหารเรือมีชีวิตที่อันตรายและยากลำบาก ” และเพราะว่าฉันรักเขา และเขาไม่มีความสุข ฉันจึงพยายามลืมเกียวกับทะเล
                แต่ฉันไม่สามารถลืมได้ และประมาณ 1 ปีต่อมา ฉันเจอเพื่อนในเมือง พ่อของเขามีเรือ และเพื่อนของฉันก็พูดกับฉันว่า “ พวกเรากำลังจะเดินเรือไปลอนดอนในวันพรุ่งนี้ ทำไมนายไม่ไปกับพวกเรา ”
                และดังนั้นในวันที่ 1 เดือนกันยายน ค.ศ. 1651 ฉันไปที่ฮัลล์ และในวันต่อมาพวกเราเดินเรือไปลอนดอน
                แต่ในไม่กี่วันต่อมาเกิดลมแรง ทะเลเกิดอันตรายรุนแรง เรือมีลักษณะขึ้นๆลงๆ ฉันรู้สึกไม่ดีและกลัวมาก
                “โอ้ ฉันยังไม่อยากตาย! ” ฉันร้องออกไป “ ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่ ถ้าฉันรอด ฉันจะกลับบ้าน จะไม่มาทะเลอีก ”
                วันต่อมาลมหยุดและทะเลเงียบ และกลับมาสวยอีกครั้ง
                “ ดีบ๊อบ ” เพื่อนของฉันหัวเราะ “ ตอนนี้คุณรู้สึกยังไง ลมมันไม่ได้เลวร้ายนะ ”
“ อะไรน่ะ ” ฉันร้องออกไป “ มัมนเป็นพายุที่แย่มาก ”
“ โอ้ นั่นมันไม่ใช่พายุ ” เพื่อนของฉันตอบ “ แค่ลมเล็กน้อยเอง ลืมมันซะ เรามาดื่มกันเถอะ ”
หลังจากดื่มกับเพื่อนเล็กน้อย ฉันก็รู้สึกดีขึ้น ฉันลืมเกียวกับอันตรายต่างๆ และตัดสินใจที่จะไม่กลับบ้าน ฉันไม่ต้องการให้เพื่อน และครอบครัวหัวเราะฉัน
ฉันอาศัยอยู่ในลอนดอนเป็นบางเวลา แต่ฉันยังคงต้องการทะเล ดังนั้นเมื่อกัปตันของเรือขอร้องให้ฉันไปกับเขาที่กัวเนีย ประเทศแอฟริกา ฉันตอบตกลง ดังนั้นฉันออกทะเลเป็นครั้งทที่สอง
มันเป็นเรือทที่ดี และมีทุกสิ่งเพียบพร้อมเป็นครั้งแรก แต่ฉันรู้สึกไม่ดีอีกครั้ง ต่อจากนั้นเมื่อพวกเราเข้าใกล้เกาะคานารี่ เรือโจรสลัดตุรกีก็ไล่ตามพวกเรา พวกเขาเป็นโจรที่มีชื่อเสียงทางทะเลในเวลานี้ มันนานและตอสู้กันอย่างหนัก แต่เมื่อมันสำเร็จพวกเราและเรือก็กลายเป็นนักโทษ
กัปตันชาวตุรกี และคนของพวกเขาพาพวกเราไปที่ซอลลี่ ในโมร๊อคโค พวกเขาต้องการขายพวกเราเหมือนทาสในตลาดที่นั่น แต่ในที่สุดกัปตันชาวตุรกีตัดสินใจที่จะเก็บฉันไว้ เพื่อเขาและพาฉันกลับบ้านไปกับเขา นี่เป็นโอกาสที่ไม่คาดคิด และแย่ในชีวิตฉัน ตอนนี้ฉันเป็นทาส และกัปตันชาวตุรกีเป็นเจ้านาย

ตอนที่ 2 : ครั้งแรกกับการเดินทางในทะเล
เป็นเวลาสองปีที่ยาวนานที่ฉันใช้ชีวิตแบบทาส ฉันทำงานที่บ้านและสวน และทุกๆวันฉันวางแผนที่จะหลบหนี แต่มันไม่เคยเป็นไปได้ ฉันคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นทั้งวันทั้งคืน เจ้านายของฉันชอบตกปลาในเรือลำเล็ก และเขาจะพาฉันไปกับเขาเสมอ ผู้ชายชื่อโมลี่และเด็กชายหนุ่มไปกับพวกเรา
         วันหนึ่งเจ้านายของฉันบอกกับพวกเราว่า เพื่อนของฉันบางคนต้องการไปตกปลาในวันพรุ่งนี้เตรียมเรือให้พร้อม
          ดังนั้นพวกเราจึงเตรียมอาหารและเครื่องดื่มมากมายวางไว้ในเรือ และในเช้าวันถัดมา พวกเรารอเจ้านายและเพื่อนของพวกเรา แต่เมื่อเจ้านายมาถึง เขามาเพียงคนเดียว
          “ เพื่อนของฉันไม่ต้องการไปตกปลาในวันนี้ เขาพูดกับฉัน แต่คุณไปกับโมลี่และเด็กชาย และจับปลาเพื่อเป็นอาหารมื้อค่ำในคืนนี้
          “ ตกลงครับหัวหน้า ฉันตอบอย่างเงียบ แต่ข้างในใจฉันตื่นเต้น บางทีตอนนี้นี่แหละฉันสามารถหนีได้ ฉันพูดกับตัวเอง
          เจ้านายกลับไปหาเพื่อนของเขา และพวกเรานำเรือออกทะเล เป็นเวลาที่ตกปลาอย่างเงียบ และจากนั้นฉันเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังอยู่ข้างหลังโมลี่และต่อยเขาตกลงไปในน้ำ ว่ายน้ำ ฉันร้อง ว่ายเข้าฝั่ง
          เจ้านายฉันชอบยิงนกทะเลและดังนั้นก็จะมีปืนอยู่ในเรือ ฉันเอาปืนมา 1 กระบอกโดยทันที โมลี่ว่ายน้ำตามเรือ และฉันตะโกนบอกเขาว่า กลับเข้าฝั่งซะ คุณสามารถว่ายน้ำไปที่นั่นได้ มันไม่ไกลนัก ฉันจะไม่ทำร้ายคุณ แต่ถ้าคุณเข้าใกล้เรือ ฉันจะยิงหัวคุณซะ ดังนั้นโมลี่หันหลังและว่ายกลับเข้าฝั่งอย่างเร็วเท่าที่เขาจะทำได้
         ต่อจากนั้นฉันพูดกับเด็กผู้ชายว่า ซูรี่ ถ้าคุณช่วยฉัน ฉันจะเป็นเพื่อนที่ดีกับคุณ ถ้าคุณไม่ช่วยฉัน ฉันจะผลักคุณลงไปในทะเลเช่นกัน แต่ซูรี่มีความสุขที่ช่วยฉัน ฉันจะไปทั่วโลกกับคุณ เขาร้อง
          ฉันต้องการเดินเรือไปที่คานารี่ แต่ฉันกลัวที่จะไปไกลจากฝั่ง มันเป็นเพียงเรือลำเล็ก ดังนั้นพวกเราจึงเดินเรือไปทางตอนใต้จากชายฝั่งในไม่กี่วัน พวกเรามีน้ำน้อยมาก และที่นี่มันเป็นประเทศที่อันตราย มีสัตว์ป่ามากมาย พวกเรารู้สึกกลัว แต่พวกเราต้องเข้าฝั่งเพื่อหาน้ำให้มากกว่านี้ ต่อมาฉันใช้ปืนยิงสัตว์ป่า ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่มันทำอาหารได้
                เป็นเวลาประมาณสิบถึงสิบสองวันพวกเราเดินเรืออยู่ทางตอนใต้และลงไปทางชายฝั่งของแอฟริกา ต่อมาวันหนึ่งพวกเราเห็นคนอยู่บนชายฝั่งแปลกและเป็นคนป่า เขาดูไม่เป็นมิตร ขณะที่ตอนนี้พวกเรามีอาหารเล็กน้อย และพวกเราต้องการความช่วยเหลือจริงๆ พวกเรารู้สึกกลัวแต่พวกเราต้องเข้าฝั่ง
                ในตอนแรกพวกเขารู้สึกกลัวพวกเราเช่นกัน บางทีคนผิวขาวไม่เคยมาชายฝั่งแห่งนี้ พวกเราไม่ได้พูดภาษาของพวกเขา แน่นอนพวกเราใช้มือและหน้าของพวกเราแสดงให้รู้ว่าหิว พวกเขานำอาหารมาให้พวกเรา  แต่ต่อมาพวกเขาก็ออกห่างอย่างรวดเร็ว พวกเราได้อาหารไปไว้ในเรือ และพวกเขาก็ดูพวกเรา ฉันพยายามที่จะขอบคุณพวกเขา แต่ฉันไม่มีอะไรที่จะให้พวกเขา
                ต่อมามีสัตว์ป่าตัวใหญ่ คือ เสือสองตัวเดินมาที่ชายฝั่ง โดยมาจากภูเขา ฉันคิดว่าพวกมันคือ เสือดาว มนาย์รู้สึกกลัวสัตว์ป่าตระกูลแมว และผู้หญิงก็ร้องออกมา ทันใดนั้นฉันก็หยิบปืนและยิงไปที่สัตว์ ตัวที่สองก็วิ่งกลับเข้าสู่ป่า ปืนเป็นของใหม่สำหรับคนแอฟริกา พวกเขากลัวเสียงดังและควัน แต่พวกเขามีความสุขที่แมวป่าตาย ฉันให้เนื้อสัตว์ที่ตายแก่พวกเขา และพวกเขาก็นำอาหารมากมายและน้ำมาให้พวกเรา
                ตอนนี้พวกเรามีน้ำและอาหารมากมาย และพวกเราก็เดินเรือต่อ 11วันต่อมา พวกเราเข้าใกล้เกาะเครฟเวอร์ด พวกเราเห็นแล้วแต่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ เพราะไม่มีลม พวกเราจึงรอคอย
                ทันใดนั้น ซูรี่บอกฉันว่า “ ดูนั่นสิเรือ ”
                เขาพูดถูก พวกเราเรียกและตะโกน และเดินเรือลำเล็กของพวกเราอย่างเร็วเท่าที่จะทำได้ แต่เรือลำนั้นไม่เห็นพวกเรา ต่อมาฉันจำได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดควันมาก ไม่กี่นาทีต่อมาเรือลำนั้นก็เห็นพวกเราและกลับมา
                เมื่อพวกเราอยู่บนเรือ กัปตันโปรตุเกสได้ฟังเรื่องราวของฉัน ซึ่งเขากำลังจะไปที่บราซิลและยินยอมที่จะช่วยฉัน แต่เขาไม่ได้ต้องการอะไรจากการช่วยเหลือของเขา “ ไม่ ” เขาพูดเมื่อฉันพยายามที่จะตอบแทนเขา “ บางทีบางเวลาใครบางคนจะช่วยฉันเมื่อฉันต้องการมัน ”
                แต่เขาให้เงินฉัน สำหรับเรือของฉันและสำหรับซูรี่เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่ต้องการที่จะขายซูรี่เหมือนทาสหลังจากที่ผจญภัยเหตุการณ์อันตรายมาด้วยกันทั้งหมด แต่ซูรี่ก็มีความสุขี่จะไป และกัปตันเป็นคนดี “ ในอีกสิบปี เวลานั้น ” เขาพูด “ ซูรี่จะเป็นอิสระ ”
                เมื่อพวกเราไปถึงบราซิลในสามสัปดาห์ต่อมา ฉันพูด “ ลาก่อนกัปตันและซูรี่ ” ลงจากเรือและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่
ตอนที่ 3 : พายุและเรือแตก
            ฉันเคยอาศัยอยู่ในบราซิลและทำงานเป็นเวลาหลายปีที่แล้ว ต่อมาฉันก็รวย แต่ฉันก็เบื่อ อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนของฉันมาหาฉันและมาบอกว่า เรากำลังจะไปแอฟริกา เพื่อไปค้าขายกัน ทำไมคุณไม่ไปกับพวกเราหละ พวกเราจะรวยกันหลังจากการเดินทางครั้งนี้
                ฉันไม่โง่อย่างนั้นหรอก ฉันมีชีวิตที่ง่ายและสะดวกสบายในบราซิล แต่ก็แน่นอนฉันยอมรับ และดังนั้นในปี ค.ศ. 1659 ฉันจะออกทะเลอีกครั้ง
                ในตอนแรกทุกอย่างไปได้ดี แต่ต่อมาได้เกิดพายุที่น่ากลัวเป็นเวลา 12 วันที่เกิดฝนและลมตลอด พวกเราได้สูญเสียลูกเรือ 3 คนในทะเล และในไม่ช้าเรือเกิดมีรูรั่ว “ ในเวลานี้พวกเรากำลังจะตาย ” ฉันพูดกับตัวเอง เช้าวันต่อมาของกะลาสีเรือที่มองหาชายฝั่ง แต่ในนาทีต่อมานั้นเรือได้ชนเข้ากับทรายที่อยู่ใต้ทะเล เรือไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ และขณะนี้พวกเราก็ตกอยู่ในอันตราย ทะเลพยายามที่จะทำให้เรือแตกออกเป็นชิ้นๆ และพวกเราก็มีเวลาน้อย ทันใดนั้นพวกเราได้โยนเรือลำเล็กไปในทะเลและออกจากเรือลำใหญ่ แต่ทะเลยังรุนแรงอยู่ และเรือลำเล็กของพวกเราไม่สามารถที่จะอยุ่ท่ามกลางคลื่นลูกโตได้
                ครึ่งชั่วโมงต่อมาทะเลที่โกรธได้ทำให้พวกเราหลุดออกจากเรือ และพวกเราทุกคนได้ไปอยู่ในน้ำ ฉันมองไปรอบๆเพื่อหาเพื่อนของฉัน แต่ก้ไม่เห็นใครสักคน ฉันอยู่คนเดียว
                วันนี้ฉันรู้สึกว่าโชคดี และทะเลได้ซัดฉันมาที่ฝั่ง ฉันเองไม่เห็นฝั่ง มีเพียงแค่ภูเขาที่อยู่รอบๆฉัน ต่อมาทันใดนั้นฉันรู้สึกว่าใต้เท้าคือพื้นทราย ฉันก็มาถึงภูเขาอีกลูกหนึ่ง และได้พาร่างไปบนชายหาด ฉะนได้ล้มตัวลงบนพื้นทรายที่เปียก
                ในตอนแรกฉันรู้สึกขอบคุณมากที่ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ ฉันออกเดินไปส่วนที่สูงขึ้นบนชายฝั่งอย่างช้าๆ จากที่นั่นฉันก็ได้มองออกไปที่ทะเล ฉันสามารถมองเห็นเรือของพวกเรา แต่มันอับปางและไม่มีใครอยู่ใกล้มัน ที่นั่นไม่มีใครอยู่ในทะเลเลย เพื่อนของฉันทุกคนได้ตายหมดแล้ว มีแค่ฉันที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่อยู่ในป่าที่แปลก ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ และไม่มีปืน
                ในตอนนี้มันมืดแล้วและฉันก็รู้สึกเหนื่อย ฉันกลัวที่จะหลับบนชายฝั่ง บางทีอาจจะมีสัตว์ป่าอยู่ที่นั่น ดังนั้นฉันจึงขึ้นไปอยู่บนต้นไม้และอยู่บนนั้นทั้งคืน

ตอนที่ 4 : ชีวิตใหม่บนเกาะ
                วันต่อมาทะเลได้สงบลงอีกครั้ง ฉันมองหาเรือและที่ทำให้ฉันประหลาดใจคือ เรือยังคงอยู่ตรงนั้น และยังคงอยู่เพียงแค่ลำเดียว “ ฉันคิดว่าฉันสามารถว่ายน้ำไปหามันได้ ” ฉันพูดกับตัวเอง ดังนั้นฉันจึงเดินลงไปในทะเลและก่อนที่จะไกลออกไปนั้น ฉันก็ได้อยู่ที่เรือและได้ว่ายน้ำไปรอบๆเรือ แต่ฉันจะขึ้นไปบนเรือได้อย่างไร ในที่สุดฉันได้ขึ้นไปบนเรือด้วยรูที่อยู่ด้านข้าง แต่มันก็ไม่ง่าย
                ที่นั่นมีน้ำอยู่มากมายในเรือ แต่ก็มีทรายอยู่ใต้ทะเลที่ยังยึดเรืออยู่ในที่ที่หนึ่ง ด้านหลังของเรืออยู่ในระดับที่สูงจากระดับน้ำทะเล และรู้สึกขอบคุณในสิ่งนี้เพราะว่าอาหารของเรือทั้งหมดอยู่ที่นั่น ฉันรู้สึกหิวมาก ดังนั้นฉันได้เริ่มกินอาหารในทันที ต่อมาฉันตัดสินใจที่จะนำอาหารไปบนชายฝั่งกับฉัน แต่ฉันจะพาไปที่นั่นได้อย่างไร
                ฉันมองไปรอบๆเรือ และไม่กี่นาทีต่อมาฉันพบกับไม้แผ่นยาว ฉันได้ผูกไม้กับเชือก ต่อมาฉันได้นำสิ่งที่ต้องการพาไปจากเรือ นั่นคือกล่องขนาดใหญ่ที่มีอาหาร ได้แก่ ข้าว และเนื้อเค็ม ขนมปังของเรือที่หนัก ฉันก็ได้นำมีดที่แข็งแรงและอุปกรณ์อื่นๆอีกจำนวนมาก ใบเรือของเรือ และเชือก กระดาษ ปากกา สมุด และปืน 7 กระบอก ตอนนี้ฉันต้องการใบเรืออันเล็กจากเรือ และต่อมาฉันก็พร้อม ฉันกลับไปบนฝั่งอย่างช้าๆและระมัดระวัง มันยากที่จะหยุดสิ่งของของฉันที่หล่นลงไปในทะเล แต่ในที่สุดฉันก็พาทุกอย่างขึ้นมาถึงฝั่ง
                ตอนนี้ฉันต้องการที่ไหนสักแห่งเพื่อเก็บของ
                ที่นั่นมีเนินเขาอยู่รอบๆ ดังนั้นฉันตัดสินใจที่จะสร้างบ้านหลังเล็กๆด้วยตัวเอง ฉันเดินไปที่จุดสูงสุดของเนินเขาและมองลงมาข้างล่าง ฉันรู้สึกไม่มีความสุขเอาเสียเลยเพราะว่าฉันมองที่นั่น คือ เกาะของฉัน นั่นคือสองเกาะเล็กๆและมีเพียงทะเล แค่ทะเลที่มีระยะทางเป็นไมล์ๆ
                เวลาต่อมาฉันได้พบกับถ้ำเล็กๆที่อยู่ข้างเนินเขา นั่นคือสถานที่ที่ดี ที่จะใช้สร้างบ้าน ซึ่งอยู่ด้านหน้าของเนินเขา ดังนั้นฉันจึงใช้ใบเรือ เชือก และแผ่นไม้ หลังจากนั้นก็เป็นงานที่หนักมาก ฉันมีเต้นท์ที่ดี ซึ่งถ้ำได้อยู่ด้านหลังเต้นท์ เป็นที่ที่ใช้เก็บอาหาร และฉันเรียกมันว่า ห้องครัว คืนนั้นฉันไปนอนที่บ้านหลังใหม่
                ในวันต่อมาฉันคิดถึงอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นได้บนเกาะคือสัตว์ป่า และบางทีก็อาจจะเป็นคนป่าที่อยู่บนเกาะ ฉันก็ไม่รู้ แต่รู้สึกกลัวมาก ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะสร้างรั้วที่แข็งแรงขึ้น ฉันได้ตัดต้นไม้ที่ยังเล็ก และวางลงบนพื้นในลักษณะครึ่งวงกลมไปรอบๆด้านหน้าของเต้นท์ ฉันใช้เชือกของเรือจำนวนมากและในที่สุดเรือของฉันก็มีความแข็งแรงราวกับกำแพงหิน ไม่มีใครสามารถเข้ามาข้างในได้
                การสร้างเต้นท์และรั้วเป็นงานที่หนัก ฉันจำเป็นต้องใช้เครื่องมือจำนวนมากที่ช่วยฉัน ดังนั้นฉันตัดสินใจกลับไปที่เรืออีกครั้ง และนำของมามากกว่านี้
                ฉันไปกลับอยู่สิบสองครั้ง แต่ในไม่ช้าหลังจากรอบที่สิบสองได้เกิดพายุที่น่ากลัวขึ้น ในเช้าต่อมาฉันได้มองออกไปที่ทะเล ที่นั่นไม่มีเรือแล้ว
                เมื่อฉันมองไปที่นั่น ฉันรู้สึกไม่มีความสุข “ ทำไมฉันยังมีชีวิตอยู่ และทำไมเพื่อนของฉันได้ตายหมดแล้ว ” ฉันถามตัวเอง มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันในตอนนี้ ฉันอยู่บนเกาะคนเดียวโดยที่ไม่มีเพื่อน ฉันจะหลบหนีจากที่นี่ได้อย่างไร
                ต่อมาฉันได้บอกกับตัวเองว่าฉันโชคดี โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ โชคดีที่มีอาหารและเครื่องดื่ม โชคดีที่ยังหนุ่มและแข็งแรงอยู่ แต่ฉันก็รู้ว่านั่นคือ เกาะของฉันที่ไหนสักแห่งที่อยู่ใกล้กับชายฝั่งทางใต้ของแอฟรืกา เรือไม่ได้ผ่านมาทางฝั่งนี้บ่อยนัก และฉันก็พูดกับตัวเองว่า “ ฉันกำลังจะไปที่เกาะนั้น ซึ่งใช้เวลานาน ” ดังนั้นฉันได้เขียนคำเหล่านั้นลงไปบนแผ่นไม้ยาว
ฉันมาที่นี่เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1659 ” หลังจากนั้นฉันตัดสินใจที่จะทำรอยตัดนี้ในแต่ละวัน
ตอนที่ 5 : เรียนรู้การใช้ชีวิตเพียงลำพัง
            ฉันยังคงต้องการสิ่งของอีกมากมาย “ เยี่ยม ” ฉันพูด ฉันกำลังจะต้องทำมัน ดังนั้นฉันต้องทำงานทุกวัน
                อย่างแรกฉันต้องการที่จะทำถ้ำให้มีขนาดใหญ่กว่านี้ ฉันนำก้อนหินออกจากถ้ำ และหลังจากหลายวันที่ฉันได้ทำงานหนัก ฉันมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ใกล้กับเนินเขา ต่อมาฉันต้องการโต๊ะและเก้าอี้ และนั่นคืองานต่อไปของฉัน ฉันต้องทำงานนั้นเป็นเวลานาน ฉันก็ตต้องการที่จะทำที่ที่ใช้วางอาหารทั้งหมดและอุปกรณ์และปืนทั้งหมดของฉัน แต่ทุกเวลาฉันก็ต้องการแผ่นไม้ ฉันต้องตัดต้นไม้ มันนาน ช้า และเป็นงานที่ยาก และระหว่างเดือนต่อมานั้นฉันเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือนั้นอย่างฉลาด ไม่เร่งรีบเพราะฉันมีเวลาในโลกนี้
                ฉันต้องไปข้างนอกทุกวัน และฉันพกปืนติดตัวไปเสมอ บางครั้งฉันก็ฆ่าสัตว์และต่อมาฉันก็นำเนื้อมันมากิน
                แต่เมื่อมันมืด ฉันก็ต้องไปนอนเพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ ฉันไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้เพราะฉันมองไม่เห็น เป็นเวลานานที่ฉันไม่รู้จะทำอะไร แต่ในที่สุดฉันเรียนรู้ในการใช้ไขมันของสัตว์ที่ตายแล้วมาทำแสงสว่าง
                อากาศบนเกาะของฉันมักจะร้อนมาก มักจะมีพายุและฝนตกหนัก ในเดือนมิถุนายนมีฝนตลอดเวลา ฉันไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ บางอาทิตย์ฉันก็มีอาการไข้ แต่ในไม่ช้าฉันก็ดีขึ้น เมื่อฉันกลับมาแข็งแรง ฉันก็ออกไปข้างนอกอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ฆ่าสัตว์ป่า และเป็นครั้งที่สองที่ฉันจับเต่าตัวใหญ่ได้
                ฉันอยู่บนเกาะเป็นเวลาสิบเดือนก่อนที่ฉันจะไปเที่ยวส่วนอื่นของเกาะ ระหว่างเดือนนั้นฉันทำงานหนักในถ้ำของฉัน บ้านและรั้วของฉัน ตอนนี้ฉันพร้อมที่จะออกไปหาของมากกว่านี้เพื่อพักผ่อน
                อันดับแรกฉันเดินไปตามแม่น้ำสายเล็ก ฉันพบกับผืนดินที่ไม่มีต้นไม้เลย ต่อมาฉันได้ไปเจอกับต้นไม้มากมายที่มีผลไม้หลากหลายชนิด ฉันตัดสินใจที่จะนำผลไม้จำนวนมากกลับไป และนำไปตากให้แห้ง ต่อมาก็สามารถเก็บไว้ได้หลายเดือน
                คืนนั้นฉันไปนอนบนต้นไม้ซึ่งเป็นครั้งที่สอง และในวันต่อมาฉันได้ออกเดินทาง ในไม่ช้าฉันมาถึงทางออกของเนินเขา ตรงหน้าฉันทุกๆสิ่งเป็นสีเขียว และมองไปทางไหนก็มีแต่ดอกไม้ มีสัตว์และนกมากมายหลายชนิด ฉันมองเห็นบ้านของฉันมีความแตกต่างกันมากที่สุด ฉันอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 วัน ต่อมาฉันก็มาที่บ้านน แต่บ่อยครั้งที่ฉันก็กลับไปที่นั่นอีก ที่ที่มีแต่สีเขียวที่อยู่ด้านข้างเกาะ
                และชีวิตของฉันก็ดำเนินต่อไป ทุกๆเดือนฉันได้เรียนรู้ที่จะทำสิ่งใหม่ๆ แต่ก็ยังมีปัญหาและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเช่นกัน ทันทีที่เกิดพายุพร้อมกับฝนที่ตกหนัก หลังคาของถ้ำได้พังลงมา และเกือบจะฆ่าฉัน ฉันได้สร้างมันขึ้นมาอีกครั้งกับแผ่นไม้อีกหลายแผ่น
                ตอนนี้ฉันมีอาหารอีกมากมาย ฉันได้ปรุงอาหารบนไฟ และทำให้แห้งโดยพระอาทิตย์ ดังนั้นฉันจึงมีเนื้อให้กินตลอดเวลาที่ฝนตก เมื่อฉันไม่สามารถออกไปข้างนอกกับปืนได้ ฉันเรียนรู้ที่จะทำหม้อ เพื่อนำมาทำอาหาร แต่ฉันต้องการมากกว่านั้น ใช้ทำให้แข็งแรงและหนักกว่านี้ คือหม้อจะไม่แตกเมื่อโดนไฟ ฉันพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำมันได้ ต่อมาวันหนึ่งฉันรู้สึกว่าโชคดี ฉันทำหม้ใบใหม่และวางมันบนไฟที่ร้อนมาก มันเปลี่ยนสีแต่ไม่แตก ฉันตั้งทิ้งไว้เป็นเวลาหลายชั่วโมง และเมื่อมันเย็นอีกครั้งฉันพบว่ามันแข็ง คืนนั้นฉันรู้สึกมีความสุขมาก ฉันมีน้ำร้อนเป็นครั้งแรกที่อยู่บนเกาะ
                โดยต่อมาฉันก็มีขนมปัง นั่นคือความโชคดีเช่นกัน วันหนึ่งฉันพบกระเป๋าใบเล็ก พวกเราใช้มันบนเรือที่ใช้เก็บอาหารที่เป็นไก่ นั่นก็ยังคงมีอาหารบางอย่างอยู่ในกระเป๋า และฉันได้โยนทิ้งลงบนพื้น หนึ่งเดือนต่อมาฉันได้เห็นบางสิ่งที่มีสีเขียวสดใสที่อยู่ที่นั่น และหลังจากหกเดือนฉันมีท้องทุ่งที่ใช้ปลูกข้าวโพดขนาดเล็ก ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก บางทีตอนนี้ฉันควรจะทำขนมปังเป็นของตัวเอง
                มันง่ายที่จะพูด แต่ไม่ง่ายเลยที่จะทำ มันมีงานที่มีหลายขั้นตอนในการทำขนมปังจากข้าวโพด คนจำนวนมากชอบกินข้าวโพด แต่คนสามารถนำข้าวโพดจากท้องทุ่งและทำขนมปังโดยปราศจากตัวช่วย  ฉันต้องเรียนรู้และทำหลายสิ่งใหม่ๆ และมันเป็นปีก่อนที่ฉันจะกินขนมปังที่ฉันทำเองเป็นครั้งแรก
                ระหว่างเวลาทั้งหมดนี้ฉันไม่เคยหยุดคิดเกี่ยวกับการหลบหนี เมื่อฉันได้เที่ยวไปในฝั่งตรงข้ามที่อยู่ด้านนอกของเกาะ ฉันสามารถมองเห็นเกาะอื่นๆ และฉันก็พูดกับตัวเองว่า “ บอกทีฉันสามารถไปที่นั่นได้โดยเรือลำเล็ก บางทีฉันสามารถไปอังกฤษได้ภายในหนึ่งวัน ”
                ดังนั้นฉันตัดสินใจที่จะทำเรือด้วยตนเอง ฉันได้ตัดต้นไม้ต้นใหญ่ลง และต่อมาฉันเริ่มทำรูขนาดยาวในแท่นไม้ มันเป็นงานที่หนักแต่ประมาณ 6 เดือนต่อมาฉันมีเรือที่ดีมากลำหนึ่ง ต่อมาฉันได้นำเรือลงไปในทะเล ทำไมฉันถึงโง่อย่างนี้ ทำไมฉันถึงไม่คิดก่อนที่จะเริ่มงานกันนะ แน่นอนเรือแคนนูหนักมาก ฉันไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันได้ ฉันทั้งดึงทั้งผลักและพยายามทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันได้ หลังจากนั้นเป็นเวลานานที่ฉันรู้สึกไม่มีความสุขเลย
                สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน 4 ปีที่อยู่บนเกาะ ซึ่งในเวลา 6 ปีที่ฉันได้ทำเรือแคนนูลำเล็กด้วยตนเอง แต่ก็ไม่สามารถหลบหนีไปจากที่นี่ได้ เรือมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับการเดินทาง และฉันก็ไม่ต้องการที่จะตายในทะเล เกาะคือบ้านของฉันในตอนนี้ไม่ใช่คุก ฉันแค่มีความสุขกับการที่ฉันมีชีวิตอยู่ 1 หรือ 2 ปีต่อมาฉันได้ทำเรือแคนนูด้วยตนเองเป็นครั้งที่สองในฝั่งด้านข้างของเกาะ และฉันก็ได้สร้างบ้านเป็นครั้งที่สองที่นั่น ดังนั้นฉันจึงมีบ้านสองหลัง
                ชีวิตของฉันยังคงดูยุ่งอยู่ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนค่ำ ฉันมีสิ่งที่ต้องให้ทำเสมอ ฉันเรียนรู้ที่จะทำเสื้อผ้าชุดใหม่ๆด้วยตนเองจากหนังสัตว์ที่ตายแล้ว มันดูแปลก มันถูกแต่มันสามารถทำให้ตัวฉันแห้งได้ในตอนฝนตก

                ฉันเก็บอาหารและอุปกรณ์ทั้งหมดที่บ้านของฉัน และแพะก็เช่นกัน ที่นั่นมีแพะจำนวนมากที่อยู่บนเกาะ และฉันทำท้องทุ่งให้เป็นรั้วสูงเพื่อที่จะดูแลพวกมัน พวกมันเรียนรู้ที่จะกินอาหารจากฉัน และในไม่ช้าก็มีนมแพะให้ดื่มทุกวัน ฉันทำงานหนักทุกวันในไร่ข้าวโพด และทำอยู่เป็นเวลาหลายปี

อบรม วันที่ 30 ตุลาคม 2558

                เริ่มอบรมในเช้าวันที่ 30 ตุลาคม 2558 อบรมโดยท่านวิทยากร ผศ.ดร. ศิตา  เยี่ยมขันติถาวร โดยในช่วงเช้าจะเป็นการพูดเกี่ยวกับวิธีการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 โดยจะกล่าวตั้งแต่การเรียนการสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่อดีต และการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 และท้ายสุดคือกลวิธีการเรียนการสอนภาษาในปัจจุบัน
                เริ่มด้วยการพูดถึงวิธีการสอนแบบไวยากรณ์และการแปล จะเป็นวิธีการสอนที่ไม่เน้นการฟังและการพูด แต่เน้นแบบทฤษฎีมากกว่า เพื่อที่จะให้ผู้เรียนอ่านตำราต่างๆได้ และในการสอนแบบนี้ก็เพื่อที่จะให้ผู้เรียนอ่านบทความต่างๆของต่างประเทศได้ การเรียนการสอนแบบนี้จะเน้นการท่องจำและความถูกต้องในการใช้ภาษาโดยส่วนใหญ่
                ต่อมาก็คือวิธีสอนแบบตรง โดยใช้แนวคิดที่ว่า “ภาษา” คือ ภาษาพูด “การเรียนภาษา” คือ การที่ผู้เรียนได้สื่อสารด้วยภาษาที่เรียน และการที่ผู้เรียนได้นำภาษาที่เรียนไปใช้ได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จในการเรียนภาษา โดยเริ่มจากการสอนระบบเสียง  โดยฝึกเลียยนแบบและแยกเสียงให้ถูกต้อง ต่อมาก็ให้ฝึกฟังความหมายในประโยค
                วิธีสอนแบบฟัง-พูด ในการเรียนการสอนแบบภาษาคววรเริ่มจากการฟัง-พูด เพราะเป็นการจะเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การอ่านและเขียน ดังนั้นจึงต้องเป็นภาษาที่เจ้าของภาษาใช้พูดกันในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา เริ่มต้นด้วยภาษาพูด โดยยังไม่เน้นรูปแบบของภาษาก่อน ผู้เรียนต้องเลียนแบบเสียงของผู้สอนจนฟังเข้าใจ เน้นการท่องจำบทสนทนา แล้วจึงเริ่มฝึกอ่านและเขียน
                วิธีสอนตามแนวธรรมชาติ เป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยที่ไม่มีใครสอน โดยวิธีการสอนแบบนี้เป็นการพัฒนาทักษะทางภาษา เพื่อการสื่อสารกับเจ้าของภาษา และยังคงให้ความสำคัญของความถูกต้องในการใช้ไวยากรณ์ และวิธีการสอนแบบนี้จะเน้นการแก้โดยจะแก้ไขไปเรื่อยๆ และในระยะยาวผู้เรียนก็จะนำไปใช้ได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
                วิธีสอนแบบชักชวน เป็นวิธีการสอนที่ต้องใช้เวลา ผู้สอนควรโน้มน้าวให้ผู้เรียนได้ใช้พลังสมองของตนเองอย่างเต็มที่ ควรให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยความสนุกสนาน เน้นกิจกรรมที่เน้นการสื่อสาร เช่น ให้นักเรียนพูดเมื่อนักเรียนอยากพูด ให้นักเรียนพูดเมื่อนักเรียนพร้อม โดยเน้นสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงในการใช้ภาษา เช่น การแสดงละคร  การฟังบทสนทนาโดยมีดนตรีเบาๆประกอบเพื่อเป็นการผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดในการเรียนภาษาของนักเรียน
                การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกัน เน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นประชาธิปไตย สามารถคิดแก้ปัญหาได้ สามารถคิดวิเคราะห์ได้
                การเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ใช้ภาระงานเป็นหลัก โดยที่ผู้เรียนจะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเรียนการสอน โดภาระงานที่นำมาให้ผู้เรียนทำนั้น จะต้องเหมาะกับผู้เรียน ต้องพิจารณาความยากง่าย เพื่อเป็นภาระงานที่ทำให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย และตรงกับความต้องการของผู้เรียน
                การสอนที่เน้นสาระการเรียนรู้ จุดมุ่งหมายคือ บูรณาการเนื้อหาสาระให้เข้ากับการสอนภาษา คือผู้เรียนจะต้องใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ และเนื้อหาที่นำมาให้ผู้เรียนได้เรียน จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเนื้อหาที่เลือกมาต้องเอื้อต่อการบูรณาการการสอนภาษาทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน

                จากการอบรมในช่วงเช้า ดิฉันได้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆใรศตวรรษที่ 21
ในการอบรมช่วงบ่าย ได้อบรมโดยท่าววิทยากร ผศ.ดร.ศิตา  เยี่ยมขันติถาวร โดยได้อบรมเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมในห้องเรียนจากเกมส์ เพลง การเล่านิทาน
                ในช่วงแรกท่านวิทยากรได้เริ่มต้นอบรมโดยการจัดกิจกรรมในห้องเรียนจากการร้องเพลง เป็นเพลงสั้นๆ จำได้ง่าย เป็นคำคล้องจอง พร้อมท่าทางประกอบ เช่น เพลง Tic Tac Toe โดยเพลงมีท่าทางประกอบ ในการเล่นเกมนี้ต้องเล่นแบบพอดี ไม่เล่นนานเกินไป เพราะจะทำให้เด็กเบื่อ และไม่อยากเล่นในครั้งต่อไปอีก
                จากการอบรมในช่วงบ่าย ฉันได้ความรู้คือ การจัดกิจกรรมในห้องเรียนโดยนำเกมส์ เพลง และนิทานมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อที่จะลดความตึงเครียดในห้องเรียน และเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน

อบรม วันที่ 29 ตุลาคม 2558

                                                                                                                  การอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะ
                การเริ่มการอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะในเช้าวันที่ 29 ตุลาคม 2558 ในช่วงเช้าจะเป็นการอบรมในหัวข้อ Beyond Language Learning และทักษะด้านต่างๆที่ใช้ในการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 โดยมีท่านวิทยากร คือ ดร.สุจินต์  หนูแก้ว อาจารย์สุนทร  บุญแก้ว  และ ผศ.ดร.ประกาศิต  สิทธิ์ธิติกุล
                เริ่มต้นการอบรมเรื่อง 5C คือ
1.                1.Communicative
2.                2.Culture
3.                3.Connect
4.                4.Comparison
5.                5.Community
แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น 7C คือ
1.                1.Critical thinking – problem solving
2.                2.Creative Innovation
3.                3.Culture – cross culture – understanding
4.                4.Collaboration – team work
5.                5.Communication – information – media literacy
6.                6.Computing  and  ICT  literacy
7.                7.Career – listening skills
โดยในปัจจุบันจะใช้ 5C กันโดยส่วนใหญ่ แต่ในการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 ควรนำ 7C  มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เข้ากับการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ และเพื่อให้ทันสมัยก้าวทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือไม่ว่าจะเป็นการสอนวิชาอื่นๆ ก็ควรปรับให้เข้ากับทักษะ 7C เพราะเพื่อที่จะพัฒนาเด็กให้เข้ากับยุคศตวรรษที่ 21
        ต่อมาท่านวิทยากรก็ได้พูดถึงกระบวนการคิดของบลูมส์ และลูกศิษย์ของบลูมส์ โดย
บลูมส์ =  จำ >  เข้าใจ >  นำไปใช้ >  วิเคราะห์ > สังเคราะห์ > ประเมินค่า
ลูกศิษย์ของบลูมส์ =   จำ >  เข้าใจ >  นำไปใช้ >  วิเคราะห์ > ประเมินค่า >  creative
                        จากกระบวนการคิดของบลูมส์และลูกศิษย์ของบลูมส์นั้น จะเห็นได้ว่ามีความต่างกัน คือของบลูมส์เมื่อวิเคราะห์เสร็จ ขั้นตอนต่อไปก็คือ การสังเคราะห์ และต่อมาก็คือ การประเมินค่า ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่ลูกศิษย์ของบลูมส์เมื่อวิเคราะห์เสร็จต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนของการประเมินค่าของข้อมูลดิบทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ และทำให้เกิดการคิดแบบ MI คือ Multiple Intelligence ที่ทำให้เกิดความคิดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
                หัวข้อต่อมา คอื ทักษะต่างๆในศตวรรษที่ 21 ได้แก่
Critical thinking skills ซึ่งจะเป็นทักษะที่ทำให้เกิดการตัดสินใจที่จะทำสิ่งต่างให้เกิดความคิดมากยิ่งขึ้น และจะเน้นการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 ให้เด็กได้คิดวิเคราะห์มากยิ่งขึ้น
Creative thinking เป็นการคิดสร้างสรรค์ คิดเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาสิ่งต่างๆให้ทันสมัย พัฒนาตามเทคโนโลยีสมัยใหม่
Innovative  มีหัวข้อย่อยดังนี้
-                    -  new innovative
-                    -  different innovative
-                     - better innovative
โดยจากหัวข้อด้านบนก็คือ การคิดผลิตนวัตกรรมที่จะใช้ในการสอนให้มีความใหม่กว่าในปัจจุบัน และให้มีคววามต่าง เพื่อพัฒนาสื่อให้มีความน่าสนใจกว่าในอดีต และเมื่อทำให้มีความใหม่และความแตกต่างแล้ว ก็ต้องทำให้ดีกว่า เพื่อจะนำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดผลกว่าอดีต เพื่อที่จะก้าวทันเทคโนโลยี และทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ
จากการที่ดิฉันได้เข้าอบรมในช่วงเช้า ดิฉันได้ความรู้คือ ทักษะต่างๆ ที่นำมาปรับใช้ในการสอนศตวรรษที่ 21 และทักษะต่างๆที่ต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21
        การอบรมในภาคบ่าย มีท่านวิทยากร คือ ผศ.ดร.ศิตา เยี่ยมขันติถาวร กล่าวในหัวข้อที่เกียวกับภาษาเพื่อการสื่อสาร ก็จะเกี่ยวกับภาษาและคำศัพท์ต่างๆที่พบได้ในชีวิตประจำวัน แต่ยังมีการใช้คำศัพท์ที่ผิดอยู่มากมาย
                เริ่มต้นด้วยการพูดถึง 10 ภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก โดยภาษาแรกคือ MANDARIN และภาษาอังกฤษอยู่ในอันดับที่ 4 ซึ่งถ้าเราไม่ได้ดูแผนภาพนี้ก็จะคิดว่าภาษาอังกฤษคืออันดับแรกที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกันโดยส่วนมาก
                ต่อมาก็คือการพูดทับศัพท์โดยใช้หัวข้อสนทนา “ พูดทับศัพท์ให้คับข้องใจ ” โดยคำแรกคือ ชิลชิล ในภาษาอังกฤษเราก็จะคิดว่า Chill Chill  และมีการนำมาใช้ดังตัวอย่าง คือ Sit chill chill คำต่อมาคือ gvhkmN คนส่วนใหญ่ใช้แค่ Out ที่แปลว่านอกกระแส และก็นำมาใช้ในรูป You are out. คำต่อมาคือ Over  ล้วก็นำมาพูดว่า She is over. แต่ในคำนี้ประโยคที่ถูกคือ She’s over the top. คำต่อมาคือ แจม Jam และก็นำมาใช้ว่า I will jam you. แต่สิ่งที่ถูกคือ I will join you. และยังมีอีกหลายๆคำลองสังเกตกันดูนะคะว่าเรายังมีการใช้คิดกันในแบบที่ผิดกันอยู่รึเปล่า ถ้ารู้ว่าผิดก็ลองศึกษาแล้วเปลี่ยนมาใช้กันในแบบที่ถูกกันเถอะคะ
                หัวข้อต่อมาก็ได้พูดถึง “ชื่อยี่ห้อ ชื่อแบรนด์ กลุ่มแฟนๆก็ทำให้งง” ซึ่งในความเป็นจริงดิฉันก็คิดว่าที่เรียกๆอยู่มันถูก แต่เมื่อได้ฟังจากท่านวิทยากร ก็รู้เลยว่ายังพูดผิดอยู่ เช่นคำว่า Xerox แต่คำที่ถูกคือ photocopy คำต่อมาก็คือ Fab คำที่ถูกคือ detergent คำต่อมาก็คือ Pampers แต่ในหลักความเป็นจริงคำที่ถูกคือ diaper หรือ nappy และคำสุดท้ายที่เด็กนักเรียน หรือเด็กนักศึกษามักจะรับประทานกันบ่อยๆ คือ Mama  แต่คำที่ถูกคือ instant noodles ดังนั้นเราจึงต้องทำความเข้าใจกันใหม่
                หัวข้อสุดท้ายในการอบรมวันนึ้คือ ปัจจัยที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลง
1.                1.ลักษณะเฉพาะบุคคล (Self-actualization) ได้แก่
·         ความสามารถในการสร้างสรรค์ (creativity)
·         การแก้ไขปัญหา (problem solving)
·         ความน่าเชื่อถือ (authenticity)
·         ลักษณะที่เกิดขึ้นเอง (spontaneity)
2.                2.ความนิยม (esteem) ได้แก่
·         ความนิยมหรือความชื่นชอบส่วนบุคคล (self-esteem)
·         ความเชื่อมั่น (confidence)
·         ความสำเร็จ (achievement)
3.                3.ความต้องการทางสังคม (social needs) ได้แก่
·         เพื่อน (friends)
·         ครอบครัว (family)
4.                4.ความปลอดภัย (safety) และความมั่นคง (security)
5.                5.ความต้องการทางกายภาพ ได้แก่
·         อากาศ (air)
·         ที่อยู่อาศัย (shelter)
·         น้ำ (water)
·         อาหาร (food)
จากการที่ได้ฟังอบรมในวันนี้ ดิฉันได้ความรู้คือ การใช้ภาษาในการสื่อสาร โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่คำศัพท์ที่ใช้กันมาผิดๆในชีวิตประจำวัน คำที่พูดกันติดปาก ชื่อแบรนด์ และปัจจัยที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงไป