การเรียนรู้ทางด้านภาษานั้นทุกคนจะมีภาษาแม่เป็นของตนเอง
และจะมีความชำนาญในภาษาแม่
ซึ่งภาษาแม่ของเราก็คือภาษาไทย
ทั้งนี้ทุกคนจะต้องเกิดการเรียนรู้ในภาษาที่สองคือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งความแม่นยำในการเรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษนั้นอาจจะมีน้อย
ดังนั้นจึงต้องมีการใช้กลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่อทำให้เราเกิดความชำนาญ
หรือแม่นยำในภาษามากขึ้น
ในการเรียนทักษะทางด้านภาษานั้นสามารถศึกษาหาความรู้ทั้งจากในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
การศึกษาหาความรู้ทางด้านภาษาในห้องเรียนนั้น การเรียนรู้ทางด้านภาษามีการเรียนรู้หลายวิธี
หลายหลายรูปแบบที่เราสามารถศึกษาหาความรู้ได้
ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่าเราจะต้องเริ่มจากอะไร
เราสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ในการเรียนได้ว่า ทำไมเราต้องเรียน เรียนไปเพื่ออะไร เรามีความรู้แค่ไหน
การศึกษาหาความรู้จากในห้องเรียนนั้นมีหลักการในการเรียนรู้คือ KWL
K = what
you know คือ
คุณรู้อะไรบ้างในการศึกษาเล่าเรียนวิชานั้น
คุณมีความรู้พื้นฐานอะไรมาแล้วบ้าง
W = what do you want to know คือ คุณต้องการที่จะรู้อะไรจากในห้องเรียน ในการเรียนรู้ในห้องเรียนนั้น เราจะต้องรู้ว่าที่เรามาเรียนในแต่ละวิชาเราต้องการรู้เกี่ยวกับอะไรในวิชานั้นๆ
L = what you have
learnt เราเรียนไปเพื่ออะไร
ในการศึกษาหาความรู้นั้นเราจะต้องรู้ว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร ทำไมถึงต้องเรียน
ในการเรียนรู้นั้นเราจะต้องมีหลักการว่าเราจะเรียนรู้แบบใด
อย่างไร ดังนั้นในการเรียนรู้ในห้องเรียนนั้นเราจะต้องรู้ว่าเรารู้อะไรมาแล้วบ้าง เรามีความรู้พื้นฐานแค่ไหน
หลังจากนั้นเราจะต้องเราจะต้องถามตัวเองว่าเราต้องการรู้อะไร เราอยากรู้อะไรจากการศึกษาหาความรู้ในห้องเรียน และสุดท้ายเราจะต้องรู้ว่าเราศึกษาหาความรู้จากในห้องเรียนไปเพื่ออะไร จากหลักการเรียนรู้ข้างตันนี้ใช้ได้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
การเรียนรู้ของเราจะต้องเกิดจากทั้งในและนอกห้องเรียน
ในการศึกษาหาความรู้จากนอกห้องเรียนนั้นมีหลายหลายวิธีที่เราสามารถศึกษาเกี่ยวกับภาษา
และมีหลากหลายช่องทางในการสืบค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาษา และในด้านภาษานั้นมีเรื่องมากมายที่ให้เราสืบค้น
ในเมื่อมีหลากหลายเราจึงควรหากลยุทธ์ในการเรียนภาษา
ที่จะช่วยให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
ในยุคที่ภาษาอังกฤษกำลังเฟื่องฟูมีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระบบที่หลากหลาย
ซึ่งการเรียนภาษาจะแตกต่างจากการเรียนวิชาอื่นๆเป็นส่วนใหญ่
คือการเรียนภาษาจะต้องมีความรู้และทักษะควบคู่กันไป ซึ่งความรู้จะเป็นภาคทฤษฎี ส่วนทักษะเป็นภาคปฏิบัติ
ในการเรียนเฉพาะภาคทฤษฎีโดยไม่ฝึกปฏิบัติไม่อาจทำให้สามารถใช้ภาษาได้จริงในชีวิตประจำวัน
ซึ่งปัญหาในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมักจะมุ่งไปที่เหตุปัจจัยภายนอกตัวผู้เรียน คือ
โทษครูผู้สอน โทษตำรา แบบเรียน
และสื่อการเรียนการสอน
โทษสถานศึกษาและการจัดการเรียนการสอน
โทษนโยบายรัฐ
โทษสภาพแวดล้อมทางสังคม
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ
เหตุปัจจัยหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกของกระบวนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ การจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลย่อมมีเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ตัวผู้เรียนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด
การพึ่งตนเองในการเรียนภาษาอังกฤษจนสัมฤทธิ์ผลต้องดำเนินไปอย่างเป็นระบบโดยเริ่มตั้งแต่วัตถุประสงค์และเป้าหมาย
กำหนดให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นจะสามารถทำอะไรได้แค่ไหนภายในกรอบเวลาใด เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้แล้
ก็จะต้องรู้จักจัดเตรียมและเสาะหาสื่อและแหล่งความรู้ที่เอื้อต่อการฝึกทักษะด้วยตนเอง ขั้นต่อไปก็จะต้องพัฒนากลยุทธ์ในการเรียน ซึ่งกลยุทธ์ในการเรียนภาษามีองค์ประกอบทั้งสิ้น
10 ประการ ได้แก่
1. ศึกษา ความรู้เปรียบเสมือนเสาหลักมีอยู่
2 ด้าน คือ ศัพท์และไวยากรณ์ ซึ่งอุปสรรคในการเรียนการสอนภาษา คือ
ผุ้สอนพูดกับผู้เรียนเสมอว่า
ภาษาเป็นวิชาทักษะ ไม่ใช่วิชาเนื้อหา
จนทำให้ผู้เรียนเข้าใจผิด ในเมื่อภาษาเป็นวิชาที่ไม่มีเนื้อหา
การเรียนภาษาจึงไม่ต้องเรียนเนื้อหา นอกจากการฝึกทักษะ ทำให้ไม่เข้าใจ
2. ฝึกฝน การฝึกฝนภาษาให้ได้ผลต้องผ่าน
“อินทรีย์6” หลายทาง ตา-ดู ได้แก่
การอ่าน การดู การสังเกต หู-ฟัง ได้แก่ เสียงและน้ำเสียง ปาก-พูด ได้แก่ การออกเสียง การพูด การสนทนา
การอ่านออกเสียง มือ-เขียน ได้แก่ การเขียนรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ทดแทนการเขียนด้วยมือ หัว-คิด ได้แก่
สมรรถนะทางด้านปัญญา ใจ-รัก ได้แก่
สมรรถนะทางด้านจิต คือใจรักในสิ่งที่ศึกษา จากนั้นมีความหมั่นเพียรในการศึกษา
3. สังเกต
ภาษาอังกฤษมีเนื้อหามาก บางเรื่องก็เป็นเรื่องซับซ้อน
บางเรื่องก็เป็นลักษณะเฉพาะของภาษาเอง ไม่อาจใช้เหตุผลได้
ผู้เรียนภาษาที่ดีจึงต้องเป็นคนช่างสังเกต โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องใส่ใจเรื่องใหญ่ๆต่อไปนี้
·
ไวยากรณ์ เช่น
โครงสร้างของวลีและประโยค
·
ศัพท์ เช่น
ชนิดของคำ
·
ภาษาสำเร็จรูป เช่น โวหาร สำนวน สุภาษิต
4. จดจำ
ความจำเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนรู้ทุกชนิด รวมทั้งการเรียนภาษา การเรียนภาษา
การฝึกฝนตามปกติอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องอาศัยการท่องจำมาเสริม คือ
การท่องปากเปล่าเพื่อให้จดจำถ้อยคำหือข้อความจนสามารถเรียกกลับมาใช้ได้ตามใจต้องการ
บางครั้งจะอาศัยการท่องปากเปล่าเพียงอย่างเดียวอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
จำต้องอาศัยการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแทน
5. เลียนแบบ แต่ละภาษาจะมีสัญนิยมของตนเอง
ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างคนที่ใช้ภาษาเดียวกัน มิฉะนั้นจะสื่อสารกันไม่ได้เลย
การเรียนภาษาจึงต้องอาศัยการเลียนแบบทุกขั้นตอน
ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างการเรียนภาษาแม่กับภาษาต่างประเทศก็คือ
ผู้ที่เรียนภาษาแม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมของเจ้าของภาษา
มีแหล่งความรู้ภาษาที่ถูกต้องมากกว่า
ในขณะที่ผู้เรียนภาษาต่างประเทศจะมีข้อเสียเปรียบในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะขาดแคลน”แบบ”ที่ใช้”เลียน”
ทั้งในเชิงคุณภาพและในเชิงปริมาณ
6. ดัดแปลง เมื่อเลียนแบบแล้ว
ต้องรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการใช้ภาษา
การรู้จักดัดแปลงย่อมต้องอาศัยความรู้เรื่องไวยากรณ์ประกอบกับความรู้เรื่องศัพท์และสำนวนโวหารต่างๆเป็นพื้นฐานสำคัญ
7. วิเคราะห์ การเรียนภาษาในระดับเบื้องต้นจำต้องอาศัยการเลียนแบบอยู่มาก
แต่เมื่อเรียนในระดับสูงขึ้น ก็ต้องอาศัยการวิเคราะห์เข้ามาเสริม
ซึ่งมีความซับซ้อนยิ่งกว่าภาษาทั่วไป การวิเคราะห์มี 3 ระดับใหญ่ๆคือ
·
ระดับศัพท์ คือ
วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายของศัพท์และสำนวน
·
ระดับไวยากรณ์ คือ
วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายของวลีและประโยค
·
ระดับถ้อยความ คือ
วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายระหว่างประโยค ตลอดจนโครงสร้างและความหมายโดยรวม
8. ค้นคว้า ความรู้ที่มีอยู่ในตำรา แบบเรียน ยังมีไม่เพียงพอ ผู้เรียนจำต้องค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆ
ในสภาพความเป็นจริงของการใช้ภาษาการตั้งเป้าหมายว่าผู้เรียนต้องรู้ศัพท์หมดทุกคำ
หรือต้องใช้ภาษาโดยไม่ผิดเลย เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เพราะเป็นไปไม่ได้
และไม่จำเป็น แต่การสอนให้ผู้เรียนอาศัยแต่การเดา ไม่ต้องค้นคว้าเพิ่มเติม
จนผู้เรียนคล้อยตาม ยิ่งต้องเรียนและใช้ภาษาในระดับสูงขึ้น
ก็มักจะพบว่าความรู้ต่างๆที่เรียนมานั้นพร่ามัว ทำให้ขาดความมั่นใจในการใช้ภาษา
9. ใช้งาน เมื่อเรียนรู้ภาษาไปบ้างแล้ว ก็สมควรจะใช้งานจริง
เพื่อทดสอบและตรวจสอบดูว่าความรู้และทักษะที่ได้เรียนรู้มานั้นเพียงพอหรือไม่
10. ปรับปรุง ผู้เรียนภาษาที่ดีต้องช่างสังเกตและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดบกพร่อง
เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขด้วยการศึกษา ฝึกฝน วิเคราะห์ ค้นคว้า
และหาโอกาสไปทดสอบใหม่ เพื่อวัดความก้าวหน้าในการใช้ภาษาในด้านนั้นๆ
จากการศึกษาทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน
ดิฉันได้ความรู้ คือ ความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาเป็นสิ่งที่ต้องศึกษา ฝึกฝน
และต้องเพาะบ่มเป็นเวลานาน
ไม่ใช่ว่าจะได้มาจากการเรียนกวดวิชาหรือฝึกอบรมแค่ไม่กี่ชั่วโมง