In class
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
และเข้ามามีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย
ส่งผลให้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
เพราะถือว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
การศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย รวมถึงการประกอบอาชีพ
ซึ่งจะต้องอาศัยการสื่อสารโดยส่วนใหญ่ การสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆจะสื่อสารกันได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องฟังรู้เรื่องก่อนแล้วจึงสามารถพูดตอบโต้ได้
หรือพูดได้ หรือใช้เป็น และเป็นประโยชน์
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเข้าใจในด้านการสื่อสารให้มากขึ้นนั้น เราจะต้องทำความรู้จักกับโครงสร้างประโยคให้มีความแม่นยำเสียก่อน
โดยจะเปลี่ยนโครงสร้างของประโยคไปตามเวลา จะทำให้เราเข้าในมากขึ้นว่าควรจะใช้ยังไง
เมื่อไหร่
ในการศึกษารูปแบบของประโยคในภาษาอังกฤษ
เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นนั้นมีรูปแบบประโยค 12 แบบ ได้แก่ 1) Simple present ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำโดยมีคำบ่งบอก
เช่น always , often เป็นต้น
และจะมีคำบ่งบอกเวลาว่าเกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น
every day , every
month , today ฯลฯ ซึ่งมีโครงสร้างประโยคดังนี้ “ S + V1 ” 2) Simple past ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต
จะมีคำบ่งบอกเวลา เช่น last
night , yesterday one year ago ฯลฯ มีโครงสร้างประโยคดังนี้ “ S + V2 ” 3) Simple future ใช้กับเหตุการณ์ที่คาดเดาว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ซึ่งมีคำบ่งบอก เช่น tomorrow
, next year ฯ
และมีโครงสร้างประโยค คือ “
S + will/shall + V1 ” 4) Present continuous ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรือกำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด
โครงสร้างของประโยค คือ “
S + is,am,are +V.ing ” 5) Past continuous ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในอดีตหรือเกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งในอดีต
โดยอาจจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาในอดีตระบุไว้ เช่น yesterday , at the moment yesterday เป็นต้น โดยมีโครงสร้าง คือ “ S + was,were + V.ing ” ซึ่งในบางครั้งจะมีใช้กับ past continuous กับเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคู่กับในอดีต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ใช้ past continuous ส่วนเหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกใช้ past simple โดยจะมีตัวเชื่อมทั้ง 2 คือ when , while 6) Future continuous ที่รูปแบบประโยคที่บ่งถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในช่วงเวลาที่แน่นอนในอนาคต
มีโครงสร้างของประโยค คือ “S
+ will/shall + be + V.ing ” 7) Present perfect * ใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินมาจนถึงปัจจุบันซึ่งโดยมากแล้วจะมีกริยาวิเศษณ์จำพวก
since , for เป็นต้น
*ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังแสดงผลให้เห็นในปัจจุบันและบ่อยครั้งจะมีคำกริยาวิเศษณ์จำพวก
ever , never , just , already
, yet เป็นต้น
*ใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ไม่ได้ระบุเวลา
*ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เพิ่งจะจบลงไปอย่างสมบูรณ์ โดยมีโครงสร้างดังนี้ “ S + have,has + V3 ” 8) Past perfect ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ซึ่งจะป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตและเหตุการณ์ที่พูดถึงนั้นจบสมบูรณ์แล้ว
โครงสร้างของประโยคคือ “
S + had + V3 ”
9) Future perfect ใช้เพื่อบอกว่าเหตุการณ์จะจบสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่แน่นอนในอนาคต
โครงสร้าง คือ “ S +
will/shall + have + V3 ” 10) Present perfect continuous ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
โครงสร้าง คือ “ S + has
,have + been + V.ing ” 11) Past perfect continuous ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งเกิดก่อนหน้าช่วงเวลาอดีตที่กำลังพูดถึงอยู่และดำเนินต่อเนื่องกันมาถึงช่วงเวลาหนึ่งจึงจบลง
โครงสร้างประโยค คือ คือ “
S + had + been + V.ing ” 12) Future perfect continuous เป็นการเน้นความต่อเนื่องที่จะเกิดในอนาคตเหมือนกัน
โครงสร้าง คือ “ S
+will/shall + have + been + V.ing ” จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นคือรูปแบบของประโยคทั้ง
12 แบบซึ่งจะเปลี่ยนรูปไปตามกาลเวลาที่เกิดขึ้นและกล่าวถึงเหตุการณ์นั้นๆ
จากการศึกษาในห้องเรียน
ฉันได้ความรู้ คือ การที่เราจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เข้าใจดียิ่งขึ้นนั้น
เราจะต้องเข้าใจในโครงสร้างของประโยค และจะต้องทำความเข้าใจในแต่ละรูปแบบของประโยค
จะทำให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น
ทำให้เราสามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
Out class
ปัจจุบันนักเรียนไทยเรียนในโรงเรียนตั้งแต่เช้าจนถึงตอนเย็น
หลังจากนั้นก็ไปเรียนพิเศษกันโดยส่วนใหญ่ ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบ “เรียนมากรู้น้อย” เพราะการเรียนการสอนมีการแยกส่วนเด็ดขาดในแต่ละวิชา
ครูแต่ละวิชาก็จะพะวงอยู่แต่เนื้อหาที่ตัวเองสอน
จัดชั่งโมงการเรียนการสอนอย่างเคร่งครัด สั่งการบ้านให้นักเรียนทำทุกวิชา
ทำให้นักเรียนต้องเรียนเยอะ ทำการบ้านเยอะ ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว
ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนวิธีการเรียนโดย “สอนน้อยรู้มาก”
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ประเทศไทยเท่านั้น
แต่ประเทศสิงคโปร์ก็เคยประสบปัญหาเดียวกันมาแล้ว
ทำให้กระทรวงศึกษาธิการวางแผนแก้ไขรับมือด้วยวิธีตรงกันข้ามกับปัญหาผ่านการ “สอนน้อยรู้มาก” (Teach Less , Learn More) ซึ่งเป็นการเรียนการสอนที่มุ่งเตรียมผู้เรียนให้พร้อมรับมือกับการใช้ชีวิตมากกว่าจะเป็นการเรียนการสอนเพื่อทำข้อสอบ
ซึ่งเป็นการเรียนการสอนที่เปลี่ยนจุดสำคัญจาก “ปริมาณ” มาเป็น “คุณภาพ” การสอนที่มีประสิทธิผลต้องมีวิธรการและกลยุทธ์ที่ลดปริมาณการเรียนรู้แบบท่องจำ
การทดสอบซ้ำซาก และคำตอบที่มีสูตรตายตัว และมีการเพิ่มการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน
โอกาสในการแสดงออก การเรียนรู้ทักษะที่ใช้ได้ตลอดชีวิตและปรับการสอนให้สร้างสรรค์
เพื่อมุ่งสร้างบุคลิกภาพให้เด็ก ครู ผู้บริหารโรงเรียน
สอนน้อยเรียนมากเป็นแนวคิดที่ปรับวิธีคิดเปลี่ยนวิธีสอนของครูและวิธีเรียนของนักเรียน
โดยครูออกแบบการเรียนรู้จากการตั้งคำถามเพื่อให้ผู้เรียนคิดและสืบค้นข้อมูล
เรียนรู้กิจกรรมโดยใช้โครงงาน
ฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตแล้วให้ผู้เรียนสะท้อนความคิดซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้
มีการจัดกิจกรรมโดยให้ผู้เรียนทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกันซึ่งครูออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผล เช่น การเรียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การเรียนรู้แบบสืบค้น
การคิดขั้นสูง การเรียนรู้จากโครงงาน การสะท้อนความคิด เป็นต้น
ในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Teach Less , Learn More ผู้สอนต้องสอนให้น้อยลงแต่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากขึ้น
คือผู้สอนต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง
ซึ่งบทบาทการสอนของผู้สอนแม้จะน้อยลง แต่บทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของผู้สอน คือ
ผู้สอนต้องมีการวางแผนและออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอน เตรียมสื่อและแหล่งเรียนรู้
และเตรียมคำถามที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ทั้งนี้ในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด TLLM ผู้สอนต้องคำนึงถึงคำถาม 3 คำถาม ได้แก่ 1.ทำไมต้องสอน 2.สอนอะไร และ 3. สอนอย่างไร
จากการที่สอนน้อยรู้มากนั้นผู้เรียนจะต้องเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
คือ กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนริเริ่มการเรียนรู้ด้วยตนเอง
จนถึงการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเอง
โดยจะดำเนินการด้วยตนเองหรือร่วมมือช่วยเหลือกับผู้อื่น สิ่งที่เป็นตัวกำหนดศักยภาพของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
คือ ความสามารถและความตั้งใจของบุคคล นั่นคือ
ผู้เรียนมีทางเลือกเกี่ยวกับทิศทางที่ต้องการไป แต่สิ่งที่จะต้องมีควบคู่กันไปคือ
ความรับผิดชอบและการยอมรับต่อสิ่งที่จะตามมาจากความคิดและการกระทำของตนเอง
การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับ“สอนน้อยรู้มาก” เนื่องจากว่าการที่รู้มากนั้นจะต้องเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะจำทำให้กลายเป็นคนที่ขยันแสวงหาความรู้ใส่ตัวเองและสักวันความรู้ที่ได้มาอาจจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ในยามจำเป็น
จึงควรขยันหาความรู้ด้วยตนเองให้มาก การเรียนรู้ด้วยตนเองมีวิธีการที่หลากหลาย
ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล
จากการศึกษานอกชั้นเรียน
ฉันได้ความรู้ คือ การเรียนที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดคือ
การสอนน้อยเรียนมาก ซึ่งเป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต
แล้วให้ผู้เรียนสะท้อนความคิดซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
มีการจัดกิจกรรมโดยให้ผู้เรียนทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน
ซึ่งครูจะเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น